Life@UpPass แชร์ประสบการณ์เปลี่ยนสายงานจาก “นักไวรัสวิทยา” สู่ “Backend Developer”

เปลี่ยนสายงานเป็น Backend Developer

Life@UpPass แชร์ประสบการณ์เปลี่ยนสายงาน

แนะนำตัว

สวัสดีครับ ผมชื่อ “ตั๊ก” ปัจจุบันทำงานเป็น  Backend Developer อยู่ที่ UpPass ผมเรียนจบปริญญาตรี จากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาชีววิทยา  ปัจจุบันทำงานด้าน Software Engineer มาประมาณ 3 ปีแล้วครั้บ ทั้งงานในส่วนของ Frontend และ Backend เป็นหลักครับ

เริ่มสนใจสายงาน Tech ตั้งแต่ตอนไหน

สมัยเรียนปริญญาตรี ผมมี2 วิชาที่ชอบเรียน นั่นก็คือ วิชาภูมิคุ้มกันวิทยา (Immunology) และชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็น Big data ของพวก DNA โดยจะต้องประยุกต์ใช้ความรู้ทางคอมพิวเตอร์ผสมกับความรู้ในด้านชีววิทยา เคมีและคณิตศาสตร์ เพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อประมวลผลและสรุปผลข้อมูลทางชีววิทยา ซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจในการเขียนโค้ดประมาณ 50% เลยก็ว่าได้

จุดเปลี่ยนเข้าสู่สายงาน Backend Developer 

  • หลังจบปริญญาตรี

หลังจบปริญญาตรีมา ผมรู้สึกลังเลว่าจะไปทางไหนต่อดี เพราะมี 2 วิชาที่ชอบและสนใจจากที่เคยเกริ่นไป ซึ่งในระหว่างนั้นก็ได้ไปช่วยอาจารย์ทำงานวิจัยเกี่ยวกับชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) เมื่อมีประสบการณ์เกี่ยวกับด้านนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนต่อปริญญาโท ในสายภูมิคุ้มกันวิทยา (Immunology) โดยเฉพาะที่ศิริราช เพราะอยากเรียนรู้เพิ่มเติม

ระหว่างที่ผมเรียนป.โทนั้น มีงานที่ต้องทำ Project และต้องทำการทดลองอยู่ในห้องแล็ปอยู่ตลอดเวลา ก็เริ่มรู้สึกลังเลว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ค่อยใช่ทางเท่าไหร่  เกิดคำถามขึ้นมากับตัวเองว่าถ้าจบมาเราจะทำงานด้านนี้จริงๆ หรอ ช่วงนั้นก็เลยหาอะไรดูไปเรื่อยๆ จนไปเจอ Code Camp ที่มีคอร์สเรียนเกี่ยวกับการเขียนโค้ด เลยรู้สึกสนใจและลองสมัครดู จากนั้นก็เลยตัดสินใจดรอปเรียน

  • ตัดสินใจลองทำอะไรใหม่ๆ

ในช่วงแรกของ Code Camp ผมได้เรียนเกี่ยวกับ Node.js และ JavaScript ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้ต้องเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง แต่ก็ขอลองหน่อย โดยใช้เวลาเรียนเขียนโค้ดประมาณ 3 เดือน ทำให้มีพื้นฐานเกี่ยวกับ Data Structure, เงื่อนไข If Else, loop หรือการสร้าง CRUD พอเรียนเสร็จก็รู้สึกโอเค ว่าสิ่งนี้แหล่ะถูกโฉลกกับเรา! ถ้าต้องทำงานกับสิ่งนี้ก็สามารถทำได้เรื่อยๆ ไม่ฝืนทำ ซึ่งเมื่อเรียน Code Camp จบ 3 เดือน ก็เลยตัดสินใจลาออกจาก ป.โทครับ

  • เริ่มต้นงานแรก

เริ่มต้นงานแรกจากการไปเป็น TA ผู้ช่วยใน Code Camp ก่อนครับ ซึ่งได้ช่วยสอนเกี่ยวกับ HTML, JavaScript และ CSS ประมาณ 4 เดือน ทำให้มีประสบการณ์พอทำงานเกี่ยวกับ Frontend  ได้แล้ว ซึ่งในส่วนของงาน Backend นั้น ผมยังพอทำได้ แต่ยังไม่เก่งเท่างาน Frontend ก็เลยลองอยากลองเปลี่ยนสายงานเป็น Backend Developer ทำดูก่อน ปรากฎว่าที่ทำงานที่แรกก็ให้โอกาสได้ลองทำครับ แรกๆ ก็ยากหน่อยเพราะไม่เคยทำมาก่อน แต่พอเวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างโค้ดมากขึ้น ระหว่างทำงานก็ได้เรียนรู้ทักษะการเขียน Python django เพิ่มขึ้นมา เรียนรู้เกี่ยวกับการทำจ่ายเงินผ่าน Omise API รวมถึงได้ก็ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Architecture ไปด้วย ทั้งในฝั่ง Server และ Database ซึ่งถือว่าเป็นที่ทำงานแรกที่ฝึกทักษะได้อย่างดี แต่ทำไปประมาณ 1 ปี 6 เดือน ก็รู้สึกค่อนข้างตัน อยากลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างเช่น DevOps ก็เลยตัดสินใจออกมาและได้มาเจอกับ UpPass ครับ

สิ่งที่ได้เรียนรู้และความรู้สึกหลังจากร่วมงานกับ UpPass

1. การเขียนโค้ดที่เป็นระเบียบมากขึ้น

เนื่องจาก UpPass เป็นโปรเจ็คที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งก็จะมีโครงสร้างโค้ดที่ค่อนข้างเป็นระเบียบ ทำให้ผมได้เรียนรู้ทักษะในการเขียนโค้ดที่เป็นระเบียบมากขึ้น เพื่อให้โค้ดนั้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

2. เพื่อนร่วมงาน 

เวลาเราเล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ เรามักจะเจอเพื่อนบ่นปัญหาเกี่ยวกับที่ทำงาน หรือเพื่อนร่วมงาน ซึ่งการทำงานที่นี่ไม่มีปัญหาความ Toxic ในสังคมที่ทำงานเลย ผมได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ หลายๆ ฝ่าย ทั้งทีม Product ทีม Data และทีม Dev ไม่ว่าจะเป็น Backend  Frontend และ QA และที่ประทับใจที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่มีปัญหา Dev ที่นี่ก็จะช่วยกันแก้โจทย์ต่างๆ ที่ท้าท้าย โดยไม่ได้โยนให้ใครต้องแบกคนเดียว อีกทั้งยังมี Senior ที่เก่งๆ เข้ามาช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหา ซึ่งเสมือนว่าเราก็ได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง เติบโตไปแบบไม่รู้ตัว

3. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill)

ทักษะการสื่อสาร เป็นสิ่งที่ได้ใช้และพัฒนามากขึ้นเมื่อต้องประสานงานกับทางฝั่งลูกค้าให้งานราบรื่น หรือเวลามีปัญหาที่ต้องคอยแก้ไขหรือปรับ requirement ใหม่ให้ชัดเจนทั้ง 2 ฝ่าย 

4. การ Work From Home

ความตั้งใจแรกหลังจากหางานใหม่ คือต้องการบริษัทที่สามารถ WFH ได้ 100% ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานในลักษณะ Hybrid สลับทำที่บ้านและเข้าออฟฟิศ ซึ่งตอนนั้น UpPass ก็เป็นที่เดียวที่สามารถ WFH ได้ 100%

มีวิธีการทำงานอย่างไรสำหรับการ WFH 100%

เนื่องจากที่ UpPass ไม่ได้กำหนดเวลาในการเข้าออกงาน แต่ก็จะมีการ Scrum ทุกวันตอน 11 โมง ซึ่งผมก็จะกำหนดเวลาการทำงานของตัวเอง  โดยสไตล์การทำงานของตัวเองก็จะพยายามไม่นั่งหน้าโต๊ะคอมตลอดเวลา  พยายามแบ่งเวลาในการทำงานและเวลาพัก ก็จะมีแบ่งออกไปเดินเล่น ฟังเพลงสักแปปนึง แล้วก็กลับมาทำงานต่อ

ซึ่งการแบ่งเวลาแบบนี้ จะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่หลักๆ ก็คือ งานที่ได้รับมอบหมายก็ต้องทำให้เสร็จทันในเวลา ซึ่งเราต้องรู้ว่างานที่เราได้รับมอบหมายนั้นต้องใช้เวลาทำเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้จัดการเวลาพักให้ดี

Tips! : “วินัยเป็นสิ่งสำคัญ” ถ้าเราวางแผนการทำงานในแต่ละวันได้ดี งานก็จะเสร็จตามแผน  การ WFH ก็จะไม่ใช่ปัญหา

Challenge ในการเป็น Backend Developer ที่ UpPass 

Challenge ของการทำงานที่นี่มากที่สุดจะเป็นการเขียน Test Case ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานทดสอบระบบ ว่าครอบคลุมตามผลการทดสอบที่คาดหวังหรือไม่  หรือถ้ามีบั๊กก็จะรู้ได้ทันที โดย Test case จะต้องถูกต้องตาม Requirement และ Condition ที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งก็มีหลายเหตุการณ์ระหว่างการทำงานที่ UpPass ตัว Test case ส่งผลดีต่างๆมากมายเช่นป้องกันการเกิดบัคแล้วยังสามารถเช็คการเปลี่ยนแปลง requirement ของลูกค้าได้ด้วย ทำให้ code ที่เราเขียนไว้สามารถปรับเปลี่ยนในทิศทางที่ถูกต้อง

มีอะไรอยากฝากถึงคนที่อยากย้ายมาสายงาน Tech บ้างไหม

สำหรับใครที่อยากย้ายมาทำงานสาย Tech หรือมีความสนใจในงานสาย Tech อยากให้ลองสำรวจตัวเองเพิ่มเติมดูว่าชอบวิธีการทำงานในด้านสายนี้ไหม ซึ่งลักษณะการทำงาน Developer ส่วนใหญ่ มักใช้เวลาไปกับการนั่งหน้าคอม แต่ก็ไม่ใช่งาน Routine เพราะจะต้องเจอกับอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและต้องศึกษาให้ทัน รวมถึงความกดดันในการเขียนโค้ด  ถ้ารู้สึกว่าสายงาน Tech เหมาะกับตัวเอง เป็นอาชีพที่ทำแล้วรู้สึกดี ไม่ทรมาน ก็ลุยเลยครับ

หากใครที่เป็นคนที่มีไฟ มีความกระตือรือร้น และพร้อมที่จะเรียนรู้ ก็สามารถลองยื่นใบสมัครมาได้เลย ตอนนี้ UpPass มีเปิดรับตำแหน่ง  Django Backend Engineer อยู่ด้วย ถ้าสนใจลองยื่น Portfolio & Resume มาได้ที่ E-mail : hr@uppass.io หรือดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ UpPass LinkedIn

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ https://blog.uppass.io