ประสบการณ์ฝึกงาน Data Engineer ที่ UpPass จนได้งานประจำ

 แชร์ประสบการณ์ฝึกงานที่ UpPass จนได้งานประจำ

1. แนะนำตัว 

สวัสดีครับ ผมชื่อ “นิว” ฐากูร ทองเป๋ จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Engineering)  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ครับ ปัจจุบันทำตำแหน่ง Machine Learning Engineering ที่ UpPass ครับ

2. รู้จัก UpPass ได้ยังไง ทำไมถึงเข้ามาฝึกงานที่นี่

ในช่วงระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยตอนปี 2 มีวิชานึงชื่อว่า Software Engineering ทางมหาวิทยาลัยได้เชิญวิทยากรมาพูดและให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง QA และ DevOps ซึ่งพี่แก็ป (CTO ของ UpPass) ได้มาเป็นวิทยากรสอนเกี่ยวกับ DevOps ที่มจธ. ครับ หลังจากที่สอนจบ พี่แก็ปก็ได้ให้ช่องทางติดต่อรวมถึงฝาก FB Page Spicydog และช่อง Youtube “Spicydog Proxy” ซึ่งรายการหลักในเพจก็คือ “SPICYDOG’s TechTalks” โดยเป็นคอนเทนต์ที่มีการพูดคุยและแชร์ความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี  ซึ่งผมก็ได้ไปร่วมอยู่ในรายการของพี่แก็ปมาสักพักครับ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้รู้จักกับ UpPass และได้รับการเชิญชวนให้เข้ามาลองฝึกงานที่นี่ครับ

3. เคยฝึกงานมาแล้วกี่ครั้ง ประสบการณ์ฝึกงานในแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างไร

ผมเคยฝึกงานตอนเรียนมาทั้งหมด 3 ครั้งครับ ซึ่งครั้งแรกเป็นการฝึกงานเอง  ไม่ได้ฝึกงานในนามมหาลัยครับ ส่วนครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 เป็นการฝึกในนามมหาลัย 

  • ฝึกงานครั้งแรก

ฝึกงานครั้งแรกของผมที่ UpPass เริ่มตั้งแต่ช่วงปิดเทอมตอนปี 2 เลยครับ เป็นระยะเวลา 1 เดือน ในตอนนั้นผมได้รับมอบหมายให้หา Model สำหรับทำ Facial Landmark Detection หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ โมเดลสำหรับจับจุดแลนมาร์คตำแหน่งบนใบหน้า เวลาที่มีการทำ EKYC ครับ ซึ่งในช่วงแรก ผมก็ยังทำอะไรไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ แต่ก็เป็นคนที่ชอบพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ เลยไป Research หาข้อมูลจากงานวิจัยหรือตัว Model ที่มีอยู่แล้ว จากนั้นก็นำมา Benchmark เปรียบเทียบความเร็ว ประสิทธิภาพ และขอคำแนะนำจากพี่ senior ในทีมต่อครับ ซึ่งผลงานในการ Research โมเดลต่างๆ ของผม ก็ได้นำไปใช้งานต่อจริงๆ ด้วยครับ

  • ฝึกงานครั้งที่ 2 

ฝึกงานครั้งที่ 2 ครั้งนี้มาในนามของมหาลัยครับ ตอนปี 3 เทอม 2 ครับ  ผมก็เลือกที่จะมาฝึกงานที่ UpPass เหมือนเดิมครับ เพราะตอนที่เข้ามาฝึกงานครั้งแรกมันโอเคมากๆ เลยอยากกลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็ได้ทำอะไรใหม่ๆ ค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะตอนรอบแรกที่ฝึกงานผมยังเขียนโค้ดสำหรับสร้าง AI หรือสร้าง Model ไม่เป็นเลย แต่หลังจากที่ได้ไปลงเรียนเพิ่มเติมที่มหาลัย  และมีความรู้ที่ได้รับจากการฝึกงานครั้งแรก ทำให้งานหลักที่ได้ทำตอนฝึกงานรอบที่ 2 จะเป็นงานเกี่ยวกับการสร้าง Fraud detection Model หรือโมเดลสำหรับจับการปลอมแปลงบัตรประชาชนในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น โมเดลที่จับการปลอมบัตรโดยเอารูปถ่ายคนอื่นมาแปะทับบัตรประชาชน โมเดลจับภาพถ่ายที่ไม่ใช่ Physical หรือการถ่ายภาพบัตรประชาชนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และโมเดลที่จับภาพรวมว่าบัตรประชาชนมีการปลอมแปลงข้อมูลหรือไม่ (Non Physical ID frauds) ซึ่งในระยะเวลา 2 เดือนที่ได้ฝึกงานที่นี่ ถือว่าได้ลองสร้าง Model ใหม่ๆ ที่หลากหลายมากๆ เลยครับ

  • ฝึกงานครั้งที่ 3

ฝึกงานครั้งที่ 3 ตอนผมอยู่ปี 4 ครับ ผมได้ทำ Project ฝึกงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง โดยได้สร้างโมเดลสำหรับการประเมินราคาของอสังหาริมทรัพย์ จากทั้งข้อมูลที่เป็นรูปภาพแล้วข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เช่น ข้อมูลจากที่ตั้ง ละติจูด ลองจิจูด ขนาด ความกว้าง รวมถึงจำนวนห้อง ถือเป็นงานที่ค่อนข้าง Challenge อีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ

4. ทำไมถึงเลือกทำงานกับบริษัท Startup 

เนื่องจากผมได้มีโอกาสฝึกงานกับทั้งบริษัท Startup และธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งระหว่างเรียนจบผมก็ได้รับ Offer งานจากทั้ง 2 ที่เลย ในตอนนั้นที่ผมยังเป็นเด็กจบใหม่ ก็ยังไม่รู้ว่าชอบทำงานด้านไหนเป็นพิเศษ ก็เลยอยากที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่หลากหลาย ซึ่งจากประสบการณ์ฝึกงาน ทำให้ผมรู้สึกชอบสังคมการทำงานของ UpPass มากกว่า ด้วยความที่เป็น Startup สังคมการทำงานก็มีความเป็นฟรีสไตล์มากกว่า และได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ค่อนข้างเยอะ ซึ่งต่างจากลักษณะการทำงานในธนาคาร ซึ่ง Project ที่ได้ทำค่อนข้างน้อยกว่า รวมถึงกระบวนการขอข้อมูลต่างๆ มักค่อนข้างมีระยะเวลา มีกรอบและแนวทางการทำงานที่ต้องปฏิบัติตาม ทำให้รู้สึกไม่ได้มีอิสระความคิดเท่าที่ควร ผมเลยเลือกที่จะทำงานกับบริษัท Startup เพราะตอบโจทย์ผมมากกว่า ทั้งในเรื่องงาน ไลฟ์สไตล์และความคิดครับ ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกได้เรียนรู้และได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ค่อนข้างเยอะเลยครับ

5. ร่วมงานกับ UpPass ได้ทำอะไรบ้าง

งานที่ได้รับมอบหมายเมื่อได้เป็นพนักงานประจำค่อนข้างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ แทบจะไม่ได้สร้างตัว Model ในการจับ Frauds เลย ด้วยความที่ UpPass เป็น Startup ที่ Stage ของบริษัท ณ ตอนนั้นค่อนข้างเปลี่ยนไป เริ่มมีพนักงานเพิ่มขึ้น Model ที่เคยพัฒนาก็ค่อนข้างที่จะนิ่งแล้ว  ซึ่งพอได้เริ่มทำงานจริงๆ ผมก็ได้คุยกับพี่แก็ป (CTO ของ UpPass) ไปว่าอยากลองลองทำงานใหม่ๆ เกี่ยวกับ Backend ที่ได้เอา Model ไปใช้ดู ซึ่งผมก็ได้รับโอกาสให้ลองทำดู ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์ของบริษัท Startup ขนาดเล็กเลยก็ว่าได้ครับ ทำให้ผมมี  Challenge เพิ่มขึ้นในการทำงาน Backend ได้ทำงานร่วมกับหลายๆ ฝ่าย รวมถึงได้ทำงานกับ Project ของลูกค้าด้วย

6. ฝากถึงน้องๆ ที่อยากฝึกงานกับ UpPass และทริคในการฝึกงานจนได้งานประจำ

การฝึกงานที่ UpPass เป็นการฝึกงานที่ได้ประสบการณ์เยอะมากครับ จากคนที่เขียน Model ไม่เป็น พอมาฝึกงานที่นี่และได้ศึกษาหาความรู้อยู่เรื่อยๆ ก็สามารถสร้าง Model เป็น

Tips! : สิ่งสำคัญคือ การรู้ตัวเองว่าชอบหรือสนใจอะไร จากนั้นก็ไปลงเรียนวิชาที่มหาวิทยาลัยเพิ่มเติม

ซึ่งเมื่อมีประสบการณ์ที่ได้รับจากตอนที่ฝึกงาน เมื่อไปเรียนในห้องเรียน เราก็จะทำเป็นและเข้าใจอะไรง่ายขึ้น ก็ถือว่าเป็นต่อกว่าเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยได้ลองทำครับ สุดท้ายแล้ว แต่ละบริษัทไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็กก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป การได้ฝึกงานจะทำให้เรามีประสบการณ์ในการพัฒนาตัวเองทั้งในแง่กระบวนการคิดและการทำงาน นอกจากนี้ยังทำให้มีเป้าหมายในชีวิต รู้จักตัวเองและรู้ว่าการทำงานในองค์กรแบบไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์เราที่สุด

สำหรับใครที่กำลังจะเรียนจบหรือมองหาที่ฝึกงานเพื่อเพิ่มประสบการณ์ และอยากลองทำงานในวัฒนธรรมขององค์กร Startup สามารถยื่น Portfolio และ Resume มาได้ที่ E-mail : hr@uppass.io รับรองว่าได้ทำงานจริงและได้เรียนรู้แบบจริงจังแน่นอน